รีวิว Fallout (2024) ฟอลล์เอาท์ ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู
Fallout ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู ซีรีส์จาก Prime Video ที่นำเสนอเรื่องราวอันเข้มข้นใน 8 ตอน ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการตามล่าหากุญสแจสำคัญในการกู้ฟื้นคืนชีพโลกให้กลับมาอีกครั้งหลังจากการล่มสลายของระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งยังมาพร้อมกับการขับเคลื่อนด้วยการแสดงอันทรงพลังของสาว Ella Purnell ในบท Lucy รวมไปถึง Aaron Moten ในบท Maximus และ Walton Goggins ในบท The Ghoul และอีกมากมาย
ก่อนอื่นเลยถ้าใครที่ยังไม่รู้จักเรื่องนี้ต้องบอกว่า Fallout เป็นแฟรนไชส์วิดีโอเกมแนวเล่นตามบทบาท (RPG) ที่เปิดตัวภาคแรกในปี 1997 โดยค่าย Black Isle Studios ในเกมนั้นผู้เล่นรับบทเป็นผู้อาศัยในหลุมหลบภัยที่ได้รับมอบหมายให้สำรวจโลกหลังหายนะนิวเคลียร์เพื่อค้นหาแหล่งพลังงานสำหรับหลุมหลบภัยของตนเอง ซึ่งปัจจุบันแฟรนไชส์ Fallout มีภาคหลัก 4 ภาค (ภาคที่ 5 กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา) ภาคแยก 7 ภาค และบอร์ดเกม 6 ชุด นอกจากนี้ยังมีเกมออนไลน์แบบ MMORPG ที่ถูกยกเลิกไปในปี 2012 เนื่องจากข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างผู้ผลิตเกมดั้งเดิมและผู้พัฒนาเกมในยุคต่อมา ซึ่งตอนนี้บีเธสดาทได้นำมาให้ผู้กำกับ Jonathan Nolan และ Lisa Joy หยิบเอาวิดีโอเกมในตำนานกลับมาทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
Fallout (2024) ฟอลล์เอาท์ ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู จะเล่าเรื่องราวของ 219 ปี หลังจากที่โลกถูกทำลายด้วยนิวเคลียร์ มนุษยชาติได้หลบภัยลงใต้ดิน ลูซี่อาศัยอยู่ในวอลซ์ 33 ใต้ดิน ที่เธอแต่งงานกับชายจากวอลซ์ 32 และใฝ่ฝันถึงการเลี้ยงดูลูกๆ มาโดยตลาด แต่ถึงอย่างนั้นแล้วความฝันของทั้งคู่ก็พังทลายเมื่อเธอพบว่าสามีของเธอและวอลซ์ 32 ไม่ใช่ชาวใต้ดิน พวกเขาเป็นผู้รุกรานจากโลกเบื้องบนที่ปล้นและสังหารชาววอลซ์ 33 ลูซี่จึงต้องหนีขึ้นสู่โลกเบื้องบนและได้พบกับแม็กซิมัส ผู้ซึ่งกำลังตามหาชาวใต้ดินเพราะเชื่อว่าพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยโลกได้
สำหรับ Fallout ในเวอร์ชั่นนี้ที่ต้องยอมรับว่าโดดเด่นทีเดียวแม้จะไม่ได้อิงเนื้อเรื่องจากวิดีโอเกมต้นฉบับมาทั้งหมด เนื่องจากทีมเขียนบทที่นำโดย Chaz Hawkins, Geneva Robertson Dworet และ Graham Wagner ได้ดึงไฮไลต์จากเกมมาสร้างเป็นเรื่องราวที่ลงตัว ซึ่งจะเน้นไปในเวย์ของการนำเสนอธีมโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ที่สะท้อนความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ในยุค 1950 ผ่านสไตล์ Atomicpunk Retrofuturistic ที่ผสมผสานงานศิลป์และเทคโนโลยีแบบเรโทรเข้ากับโลกอนาคตได้อย่างกลมกลืนกว่าการจะดีไซน์ให้มันล้ำอนาคตจนเวอร์มากเกินไป
แม้จะนำเสนอธีมอนาคตแบบดิสโทเปียนเป็นหลัก แต่ก็เชื่อมโยงกลับไปยังเหตุการณ์ย้อนอดีตที่ตัวละครหลัก คูเปอร์ โฮเวิร์ด (รับบทโดยวอลตัน กอกกินส์) ซึ่งเป็นพระเอกหนังคาวบอยในยุค 50 ที่ต่อต้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ได้ตกลงเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ วอลต์เทค บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีแผนการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลุมหลบภัย โดยใช้กลยุทธ์กระตุ้นความกลัวของชาวอเมริกันเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เนื่องจากเกมอาจโดดเด่นด้วยภาพที่ตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับซีรีส์แล้ว เรื่องราวที่แข็งแกร่งต่างหากที่สำคัญ ดังนั้นการนำธีมที่เป็นเพียงองค์ประกอบด้านศิลปะในเกมมาต่อยอดจนทำให้ซีรีส์มีเรื่องราวที่แข็งแรง จึงถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่ช่วยให้ฐานแฟนเกมเดิมอยู่แล้ว รักผลงานมากไปอีก
การสร้างตัวละครจากคอนเซปต์เกมเป็นกลยุทธ์ที่ถือว่าฉลาดทีเดีนว เพราะช่วยในการดึงดูดผู้ชมให้มาเข้าสู่การผจญภัยอินกับสตอรี่มากยิ่งขึ้น เช่นอย่างลูซี่ที่ดัดแปลงมาจากผู้อาศัยในวอลต์จากซีรีส์หลัก ‘Fallout’ และแม็กซิมัสที่พัฒนาจากกิมมิกของ Fallout: Brotherhood of Steel เพื่อแนะนำผู้ชมให้รู้จักกับภาพจำของตัวละครมาจากเกมนั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้การนำตัวละคร NPC อย่างกูลจาก Fallout 4 มาเป็นตัวละครหลักและเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิดในเกมก็เป็นการตัดสินใจที่ดีมากที่เล่นในประเด็นนี้ด้วย
ตัวซีรีส์เองนั้นได้ปรับเปลี่ยนโครงเรื่องจากวิดีโอเกมต้นฉบับมาค่อนข้างถูกทางทีเดียว แถมไม่ตกม้าตายใดๆ อีกเลยด้วย เพราะยังคงรักษาแก่นเรื่องหลักไว้ ทำให้ทั้งแฟนเกมและผู้ชมทั่วไปที่ไม่เคยดูมาก่อนก็สนุกเพลินได้ โดยไม่ต้องยัดเยียดฉากสำคัญๆ จากเกมเข้ามาอย่างไม่จำเป็นเสมอไป นอกจากนี้ยังได้ดนตรีประกอบอันไพเราะโดย Ramin Djawadi ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับมู้ดอารมณ์ของแต่ละตอน ทำให้ผู้ชมติดตามชมอย่างต่อเนื่องได้แบบไม่เบื่อ
ในบรรดานักแสดงทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้ต้องบอกเลยว่า วอลตัน กอกกินส์ ที่รับบท กูล จัดว่าได้แสงเต็มๆ เพราะแม้ว่าใบหน้าของเขาที่ได้รับบทนี้จะต้องหลอนติดตากันมาตั้งแต่เวอร์ชั่นเกมก็จริง แต่ด้วยบุคลิกและความซับซ้อนของตัวละครก็ทำให้กูลเป็นตัวละครที่น่ากลัวด้วยเหมือนกัน การแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องปมในอดีตของกูลได้ลึกซึ้งและคนดูอย่างเราอินและเข้าใจกับตัวละครนี้มากขึ้นเยอะเลย ทำให้ทั้งสงสารทั้งเกลียดตัวละครนี้ในตัวเดียวกันแม้ว่ากูลจะดูโหดดิบเถื่อนแค่ไหนก็ตาม
ยอมรับเลยว่ากระแสซีรีส์ Fallout มาแรงในปี 2024 จริงๆ ในฐานะของการเป็นซีรีส์ดัดแปลงจากวิดีโอเกมที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สานต่อความสำเร็จของ The Last of Us ของ HBO ซึ่งได้คว้าตำแหน่งซีรีส์ดัดแปลงจากวิดีโอเกมยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 กันมาแล้ว โดย Fallout ถือว่าได้รับการยกย่องจากผู้ชมและนักวิจารณ์เยอะมาก จนกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ Prime Video กับซีรีส์สุดระทึกเรื่องนี้ และเชื่ออย่างแน่นอนว่านี่คือการปลุกกระแสการรีเมคสตอรี่หลายๆ เรื่องจากเกมมาสู่ม้วนฟิลม์อีกมากมายในอนาคตอย่างแน่นอน