รีวิว Paradise (2023)
Paradise เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟดราม่า จากผลงานกำกับของ วิคเตอร์ ชาร์ลส ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2023 ทาง Netflix ที่เล่าถึงโลกอนาคตอันใกล้ที่มนุษย์สามารถซื้อเวลาชีวิตได้ ผ่านการบริจาคอายุขัยให้กับบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ผู้ที่บริจาคอายุขัยจะได้รับเงินตอบแทนเป็นจำนวนเงินมหาศาล จนเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่รุนแรงขึ้น และนำมาซึ่งหายนะที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง
เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครหลักคือ ยูริ (รับบทโดย ลีโอ โคลสัน) พนักงานขายของบริษัท AEON ที่มีหน้าที่เกลี้ยกล่อมให้คนยากจนมาบริจาคอายุขัยให้กับบริษัท ซึ่งตัวยูริเองก็บริจาคอายุขัยให้กับภรรยาของเขาเช่นกัน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อบ้านของยูริเกิดไฟไหม้ ภรรยาของเขาเสียชีวิต และยูริต้องสูญเสียเวลาชีวิตที่เขาได้บริจาคให้ไปเกือบ 40 ปี ยูริที่รู้สึกเสียใจจึงตัดสินใจที่จะหาทางแก้แค้นบริษัท AEON จนได้พบกับ อายา (รับบทโดย นาตาลี เอ็มมานูเอล) หญิงสาวที่ทำงานเป็นสายลับให้กับกลุ่มต่อต้านบริษัท AEON จนทั้งคู่ได้มาร่วมมือกันเพื่อเปิดเผยความจริงเบื้องหลังบริษัทนี้ก่อนที่ผู้คนจะยอมขายเวลาชีวิตให้ไปจนหมด
บอกได้เลยว่า Paradise ได้มีการนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีการซื้อเวลาชีวิต สามารถตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้รุนแรงขึ้น ผู้ที่ร่ำรวยสามารถซื้อเวลาชีวิตและมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนยากคนจน ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นและโอกาสในชีวิตต่างๆ ใครดูแล้วต้องรู้สึกขมขื่นแน่นอน อีกทั้งยังมีประเด็นจริยธรรม ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งคำถามถึงจริยธรรมของการซื้อเวลาชีวิต เพราะการซื้อเวลาชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายและชีวิตของตนเองหรือไม่ การซื้อเวลาชีวิตอาจนำไปสู่การลดคุณค่าของชีวิตมนุษย์และทำให้ผู้คนมองข้ามความตายได้เลย
ภาพยนตร์ไซไฟเรื่องนี้จะมีความคล้ายกับเรื่อง In Time (2011) ที่พล็อตดีจนดังมากๆ ในตอนนั้น แต่คราวนี้นำมานำเสนอในรูปแบบของความเหลื่อมล้ำทางสังคม เน้นการสะท้อนสังคมมากกว่าการเป็นแนวทริลเลอร์ไซไฟ ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี บีบเค้นหัวใจคนดูได้อย่างเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีจุดอ่อนอยู่ด้วย จากการที่พล็อตอาจค่อนข้างมีสูตรสำเร็จ มีการคาดเดาได้ง่ายว่าใครอยู่เบื้องหลังบริษัท AEON แถมธีมฉากหลังตลอดทั้งเรื่องยังรู้สึกหม่นๆ ดูแล้วรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกจนอาจจะทนดูไม่ได้จนถึงตอนจบซะทีเดียว
Paradise เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไซไฟที่หยิบนำเอาประเด็นเรื่องเวลาและชีวิต มาเล่นใหม่ได้ค่อนข้างสมูท ดราม่าแบบไม่ติดขัดหรือไม่ได้รู้สึกว่าไม่เมคเซ้นต์แต่อย่างใด การดำเนินเรื่องก็ถือว่าโอเค ฉากหลังของโลกแห่งอนาคตที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็สมจริงอยู่ โดยรวมนั้นได้รับคะแนนรีวิวจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 70% เว็บไซต์ Metacritic ให้คะแนนอยู่ที่ 65 คะแนน ใครที่ชื่นชอบสามารถติดตามรับชมได้